1.วันที่ซากุระในโตเกียวบานสะพรั่ง Ueno Park- Asakusa

วันพุธที่ 20 มีนาคม 2556 เวลาประมาณ14.00 น.

 

 เริ่มออกเดินทางไป กรุงเทพ ด้วย airasia

ถึงดอนเมืองแล้วก็มีคุณพี่ชายแม่ตุ๊กมารับไปทานข้าวเย็น เป็นร้านอาหารชื่อดัง(แถมเสียงเครื่องบินดังมาก) แถวสุวรรณภูมิ ชื่อ ครัวระเบียงน้ำ อาหารรสชาติดี อยู่ริมคลอง

18:30 น.ทานอาหารเสร็จพี่ชายก็ไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ มาถึงยังไม่ทุ่มนึง แต่ไม่รู้จะทำอะไรเลยเดินเข้าไป check in ที่เคาท์เตอร์ JALเพราะเห็นว่างๆไม่มีคนต่อแถว แถมมีพนักงานนั่งอยู่มากมายดูครึกครื้นดี  ปรากฏว่าเขายังไม่เริ่ม check in ที่นั่งๆกันอยู่เป็นเจ้าหน้าที่อื่นเขามาอาศัยกินข้าว

19:30 น.ก็เริ่ม check in ใช้เวลาประมาณ 10 นาทีก็เสร็จ(รวดเร็วมาก) เดินเข้า immigration ก็ผ่านอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ใช้ระบบ self service สแกนพาสปอร์ท-สแกนนิ้ว ก็เสร็จ 
พวกเราก็เข้า gate F ไป ปรากฏว่าที่ gate ดันไม่เปิดอีก นั่งคอยเหงาๆ(ไม่มีคนเลย) ประมาณ 2 ชม.

22:20 น. gateถึงจะเปิด เข้าไปนั่งรอขึ้นเครื่อง

ออกเดินทางประมาณ 23:30 น.เป็นเครื่องสายการบิน Japan airline เที่ยวบิน 718 เครื่องใหญ่ดี แต่ที่นั่งไม่กว้างอย่างที่คิด แจกของให้เด็กคนละชิ้น แล้วเราก็เริ่มนอน ไม่ค่อยสบายนัก มะปรางหลับสนิท แต่คุณป๋านอนแทบไม่ได้เลย มีแจกอาหารว่างกลางดึกด้วย

งีบไปสักพักประมาณตีสามกว่าๆก็เริ่มแจกอาหารเช้าทานไปได้นิดหน่อย เก็บขนมปังไว้ให้มะปราง

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม 2556

เวลา 6:30 น. ก็เดินมาถึงญี่ปุ่น คุณป๋าจองตั๋วฝั่งซ้ายไว้ จะได้มองเห็น ภูเขาไฟฟูจิ...แต่มีปีกเครื่องบินบังพอดี เลยเห็นแต่ยอดภูเขา อากาศดูมัวๆ เป็นหมอก

             เวลา07:05น. มาถึงสนามบินนาริตะ อากาศหนาวเย็นเลยทีเดียว เดินมาที่ immigration มีคนพอสมควรแต่ไม่ช้าเพราะ จนท.เห็นเรามีเด็ก(ตัวใหญ่แล้วนะเนี่ย) เลยให้เข้าช่อง priority พอออกมารับกระเป๋า ของเราก็ตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว ลากไปได้ทันที

คุณป๋าวางแผนไว้ว่าจะเข้าเมืองโดย รถลีมูซีนบัส พอเดินออกจากที่รับกระเป๋าก็จะเห็นเคาท์เตอร์ AIRPORT LIMOUSINE BUS ไปถึงก็บอกแค่ว่า Shinjuku station ผู้ใหญ่ 2 เด็ก 1 เขาก็ให้ตั๋วมา 3 ใบ ราคา ผู้ใหญ่ 3000 เยน เด็ก 1500 เยน (จริงๆมีโปรโมชั่นซื้อตั๋วแถม ตั๋วรถไฟ metro ด้วยแต่ไม่มีราคาเด็ก)



พอรับตั๋วเดินออกมาด้านนอกประมาณ 5 นาทีรถก็มาถึง มีคนบริการติดแทกกระเป๋า และนำกระเป๋าขึ้นรถให้เรียบร้อย พวกเราก็ขึ้นรถได้เลย สะดวกมากๆ  ตอนนั่งรถบัสเห็นรถไฟแซงไปด้วยแต่ว่าคนยืนเต็ม รู้สึกว่าไม่เหมาะกับการลากสัมภาระ(หนักๆ) ขึ้นรถไฟเลยค่ะ  ราคาก็เท่าๆกัน แต่อาจจะรวดเร็วกว่า

ไปโตเกียว อีก 60 กม.

พวกเรานั่งแถวหน้าเลยค่ะ ขอดูวิวระหว่างทาง เห็นซากุระเริ่มบานแล้ว

แม่ตุ๊กดูเวปพยากรณ์ซากุระมา บอกว่าปีนี้เริ่มบานตั้งแต่ 16 มีค. พวกเราน่าจะได้เห็น

ใกล้โตเกียวแล้ว

ผ่าน Tokyo Disneyland,Odaiba,Tokyo sky tree

ประมาณ 2 ชม.ก็มาถึง  Shinjuku เดินลากกระเป๋าไป Century Southern Tower Hotel

 ซึ่งอยู่ทางทิศใต้ ห่างออกไปประมาณ 300 ม. อากาศหนาวเย็นประมาณ  15 องศา

       เวลา 10.00 น. พวกเราก็มาถึงโรงแรมที่จองไว้ เป็นตึกสูงที่สุดในย่านชินจูกุเลย ลอบบี้ของโรงแรมอยู่ที่ชั้น 20 กดลิฟต์ลากกระเป๋าขึ้นไป แสดงสำเนาการจองให้เจ้าหน้าที่รับทราบ แต่บอกให้มาเช็คอินหลัง14.00 น. 

แล้วเค้าก็เอากระเป๋าเราเข้าไปเก็บด้านในเรียบร้อย รวดเร็ว จนแม่ตุ๊กงงๆยังไม่ได้เปลี่ยนเสื้อผ้าเลยนะคะ เช้านี้เลยต้องใส่ชุดนอน เข้าห้องน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน

ประมาณ 10.30 น.ก็เริ่มออกเที่ยวค่ะ คุณป๋าบอกว่า Shinjuku station ใหญ่มากกลัวจะงง ให้ไปขึ้นรถที่ Yoyogi station(ซึ่งมีรถไฟเพียง2สาย และ รถใต้ดิน 1สายผ่าน)จะดีกว่า เดินจากโรงแรมประมาณ 300 ม. คุณป๋าพาขึ้นรถใต้ดินสาย Oedo line ต่อด้วย Asakusa line นั่งรถประมาณ 30 นาที ก็มาถึง Asakusa station

11:00น.ออกมาจากสถานีแล้วก็ทานข้าวเที่ยงก่อนป้องกันเด็กโมโหหิว ถือว่าเป็นมื้อแรกในประเทศญี่ปุ่น ในร้านอุ่นมาก ร้านสะอาด แต่กลิ่นอาหารอบอวนไปหมด

ทานอาหารเสร็จก็เดินต่อไปวัดเซ็นโซจิ (SENSOJI) 

หรือที่เรียกกันว่าวัดอาซากุสะ (ASAKUSA TEMPLE) 

โคมแดงใหญ่ ตรงทางเข้าประตูสายฟ้า คนหนาแน่นมาก ได้ยินเสียงคนไทยตลอดเวลา

Kaminarimon Gate

พวกเรารีบเดินเข้าไปด้านใน หลบหลีกความวุ่นวาย หนาแน่น

ด้านในคนเยอะกว่าด้านหน้าอีกค่ะ

Asakusa Nakamise Shopping Street

เดินดูของสองข้างทางไปเรื่อยๆ ทั้งของเล่น-ของใช้-ของกิน เป็นระยะทางไกลพอควร

ของที่ขายดูราคาแพงพอสมควร พวกเราก็เลยไม่ได้ซื้ออะไรเพราะคุณป๋าจะพาไปช็อปปิ้งเย็นนี้

ขณะเดินไปก็เริ่มเห็นซากุระบานเป็นช่วงๆ

ยังมีประตูด้านในอีกชั้น

ซากุระที่นี่ สีขาว

แต่ก็ถือว่าเป็นซากุระแห่งแรกของพวกเราในทริปนี้

ตื่นเต้นกันใหญ่

ฟ้าสดใส

เก็บรูปหมู่ตลอดทางเลยค่ะ

ล้างมือ-ล้างหน้า เพื่อความเป็นสิริมงคล...น้ำเย็นมากก(มีคนดื่มด้วยนะคะ)

ประตูชั้นใน Hozomon Gate

ซากุระต้นนี้...โดนดามทุกกิ่งเลยค่ะ

Five-storied Pagoda

Senso-ji Temple Main Hall

เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นเจ้าแม่กวนอิม

เข้าไปไหว้พระ ขอพรกันก่อนค่ะ

เจดีย์ 5 ชั้น

ไหว้พระเสร็จก็กลับค่ะ

รองเท้าเชือกถัก(ยักษ์)

ที่นั่งพักผ่อน ตากแดดเพื่อความอบอุ่น มะปรางลองโยกน้ำมาล้างมือ..น้ำเย็นมากๆๆ

ประมาณ 13:00 น. ก็ออกเดินทางต่อค่ะ

เดินย้อนกลับไปที่ asakusa station  เห็นตึกรูปฟองเบียร์อยู่ไม่ไกล

ขึ้นสาย Ginza line ไปลงที่สวนสาธารณะอูเอโนะ(Ueno park) ซึ่งอยู่ห่างประมาณ 3 สถานี

ตรงตู้ขายตั๋วจะมีป้ายราคาของแต่ละสถานีเป็นภาษาญี่ปุ่นหมด(อ่านไม่ออก)ไม่รู้ว่าตั๋วราคาเท่าไหร่ 
แม่ตุ๊กก็จะวิ่งไปถาม จนท.ว่าจะไปสถานีนี้....ราคาเท่าไร? เค้าก็จะกดตัวเลขบอกเรา(เค้าก็พูดอังกฤษไม่ได้) แต่ตอนหลังคุณป๋ามีเทคนิคง่ายๆคือซื้อตั๋วราคาต่ำสุด พอจะออกค่อยไป adjust ราคาตั๋วแล้วจ่ายส่วนต่างเอา (ถ้ามาหลายๆวันซื้อบัตรเติมเงินจะสะดวกที่สุดค่ะ)

Ueno Park

ตรงบันไดทางเข้าสวน มีคนรับจ้างวาดรูปนั่งอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ

ที่นี่มี ueno zoo เราจะเห็นสัญลักษณ์แพนด้าอยู่ทั่วๆ

ซากุระสีชมพูเข้ม ตรงทางเข้า

เก็บรูปหมู่

แม่ตุ๊กเห็นคนเดินเข้าไปด้านในสวนเยอะมาก ตามเข้าไปดีกว่าค่ะ

แผนที่

ทางเดินสายซากุระ

ซากุระเยอะมาก แค่ด้านหน้าก็เยอะกว่าที่อาซากุสะมากมาย

นักท่องเที่ยวเยอะมาก แบกเป้-ลากกระเป๋า ชมซากุระกัน

พวกเราเดินเข้าสวนจากประตูด้านทิศใต้

เดินเข้าไปเรื่อยๆ ดอกซากุระยิ่งหนาแน่นมากขึ้นๆๆ

ส่วนมากเป็นสีขาวและชมพูอ่อน

เหมือนรูปถ่ายในหนังสือเลยค่ะ

เก็บรูปหมู่ได้เป็นระยะ ตั้งขากล้องลำบากมากค่ะ

คนหนาแน่นพอสมควร เดินไหลไปเรื่อยๆตามฝูงชน

วันนี้น่าจะเป็นวันที่ซากุระบานเต็มที่ มีโทรทัศน์มาถ่ายทอดสดด้วยค่ะ

 

เดินมาเรื่อยๆ นานๆจะเจอซากุระสีชมพูเข้ม

 

วันนี้อากาศดีมาก ท้องฟ้าสดใส มีแดด แต่ไม่ร้อนเลยค่ะ อุณหภูมิประมาณ 20 องศา กำลังเย็นสบาย

ซากุระมีกลิ่นหอมอ่อนๆ คุณป๋าบอกว่าคล้ายกลิ่นดอกมะลิบ้านเรา

สีขาวเหมือนเสื้อมะปรางเลยค่ะ

เด็กไม่งอแงบ่นเมื่อย แม้จะเดินยาวไกล

ถ้าไม่อยากเดิน ก็มีจักรยานให้เช่าด้วยนะคะ

สุดทางเดินเป็นลานกว้าง มีร้านกาแฟ ห้องน้ำไว้บริการ

แล้วก็มานั่งพักเมื่อยก่อนเดินทางต่อค่ะ