TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2566/01/23

Kinkakuji-Kiyomizudera-Fushimi inari (เที่ยวเกียวโต-วัดทอง-วัดน้ำใส-ศาลเจ้าจิ้งจอก)

 วันที่ 6 ธันวาคม 2565

เวลา 12:00 น.เดินทางมาถึงเมืองเกียวโต ลงที่สถานี Emmachi Station

เดินออกจากสถานีไปทางทิศเหนือตามถนน Nishoji Dori เพื่อไปทานอาหารเที่ยงก่อนค่ะ

ร้านราเม็ง ラーメン 將陽 อยู่ห่างจากสถานี 400 เมตร 

รอไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ น่าทานมากๆค่ะ

ราเม็งคนละชาม มีข้าว ไก่ทอดและเกี๊ยวทอดเพิ่ม อิ่มและอร่อยมาก

นั่งรถบัสสาย  205 ไปวัดคินคะคุจิ

ลงจากรถแล้วเลี้ยวซ้ายเดินต่อไปตามป้าย

เดินเข้ามาประมาณ 100 เมตรก็ถึงทางเข้าวัดแล้วค่ะ

Kuro-mon Gate

เดินเข้าไปอีก 100 เมตร

ใบไม้เริ่มเปลี่ยนสี

สองข้างทางเดินเต็มไปด้วยต้นไม้เก่าแก่มีมอสปกคลุมเหมือนอยู่ในป่าเลยค่ะ

แผนที่ภายในวัด


Somon (Main Gate)

Temple hours 9:00 - 17:00

ทางซ้ายมือคือหอระฆัง เราต้องเดินตรงไปซื้อตั๋วเข้าชมตัววัดทองด้านใน

Admission Fee 400 yen 

ค่าตั๋วคนละ 400 เยน ตรวจตั๋วแล้วก็เดินเข้าไปได้เลยค่ะ นักท่องเที่ยวเยอะมากๆ

ใบไม้แดง

มาถึงลานกว้าง มีป้ายห้ามตั้งกล้องและถ่ายรูปกลุ่มใหญ่เพราะจะไปรบกวนนักท่องเที่ยวคนอื่น

 Kinkakuji (Golden Pavilion) 

วัดคินคะคุจิ บางคนเรียกว่าวัดอิคคิวซัง เพราะศาลาสีทองนี้เป็นฉากในการ์ตูนเรื่อง อิคคิวซัง 
ซึ่งเป็นปราสาทของท่านโชกุนอาชิกางะ โยชิมิตสึ ผู้ที่ชอบตั้งคำถามปุจฉาวิสัชนากับอิคคิวซัง

จุดเด่นของวัดนี้คือศาลาสีทองตั้งอยู่ริมสระน้ำใหญ่ (Kin แปลว่าทอง)

It is a Zen temple in northern Kyoto whose top two floors are completely covered in gold leaf.

วัดคินคะคุจิ มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า วัดโรคุออนจิ เป็นวัดพุทธนิกายเซ็น สำนักรินไซ
 ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเกียวโต

Formally known as Rokuonji, the temple was the retirement villa of the shogun Ashikaga Yoshimitsu, and according to his will it became a Zen temple of the Rinzai sect after his death in 1408. 

ในสระน้ำก็มีการตกแต่งด้วยต้นไม้สวยงามตามแบบสวนเซน

ตัวศาลาดั้งเดิมสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1397 เพื่อเป็นที่พักของท่านโชกุนอาชิคางะ โยชิมิตสึ (Ashikaga Yoshimitsu) หลังสละราชสมบัติ ซึ่งหลังจากที่ท่านโชกุนเสียชีวิตก็ได้เปลี่ยนมาเป็นวัดแทน 

Kinkakuji is an impressive structure built overlooking a large pond, 
and is the only building left of Yoshimitsu's former retirement complex.

ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO เมื่อปี ค.ศ. 1994

ทางวัดไม่เปิดให้เข้าชมด้านในศาลา พวกเราก็เดินชมหามุมถ่ายรูปรอบๆศาลาค่ะ

It has burned down numerous times throughout its history including twice during the Onin War, a civil war that destroyed much of Kyoto. And once again more recently in 1950 when it was set on fire by a fanatic monk. The present structure was rebuilt in 1955.

ตัวศาลาได้เกิดเพลิงไหม้จนเสียหายไปหลายครั้ง ปัจจุบันเป็นอาคารไม้ที่ถูกบูรณะขึ้นใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1955 มีการรักษาเอกลักษณ์ รูปแบบโครงสร้างดั้งเดิมเอาไว้ บนยอดสุดเป็นนกฟีนิกซ์สีทอง

ลักษณะเป็นอาคารไม้สามชั้น มีความสูง 12.5 เมตร ใช้เป็นที่เก็บพระบรมสารีริกธาตุ

The first floor is built in the Shinden style used for palace buildings during the Heian Period, 
and with its natural wood pillars and white plaster walls.
The second floor is built in the Bukke style used in samurai residences, 
and has its exterior completely covered in gold leaf. 
The third and uppermost floor is built in the style of a Chinese Zen Hall, is gilded inside and out, 
and is capped with a golden phoenix.

สองชั้นบนสุดมีการปิดด้วยทองคำเปลวจนเป็นสีทองอร่าม 
ส่วนชั้นล่างใช้เป็นสีของไม้และปิดผนังด้วยสีขาวตามแบบฉบับวัดเซน

ชั้นที่ 1: Hossui-in เป็นสไตล์แบบญี่ปุ่นเรียกว่า Shinden-zukuri 
ชั้นที่ 2: Cho’on-do เป็นสไตล์แบบญี่ปุ่นเรียกว่า Buke-zukuri 
ชั้นที่ 3: Kukkyo-cho เป็นสไตล์ของวัดเซนแบบจีน

ถ่ายรูปจนรอบอาคารแล้วค่ะ

Hojo


เดินต่อไปในสวนตามป้ายบอกทาง
Ryumon Falls

เดินขึ้นมาบนเนิน มองเห็นยอดศาลาทองด้วยค่ะ

White Snake Pagoda
The stone pagoda on this small mound is a stupa that is dedicated to Hakuja, the White Snake (White Dragon) who controls the waters of the complex. The pagoda has four Buddhas carved into its base. 
It is located in the middle of Tranquility Pond (Anmintaku)


Sekkatei (Old Tea House)

Fudo-do Hall 
 It features a statue of Fudo Myoo, one of the Five Wisdom Kings and a protector of Buddhism.

ศาลาหลังเล็กด้านในเป็นที่ประดิษฐานรูปแกะสลักเทพฟุโดเมียวโอ

ร้านขายป้ายขอพร "เอมะ"
ไหว้พระและเขียนคำอธิษฐานลงบนแผ่นไม้เอมะ แล้วเอามาผูกเพื่อขอพร

กิจกรรมยอดนิยมของชาวญี่ปุ่นที่มาวัด หรือ ศาลเจ้า ก็จะเป็นการเสี่ยงเซียมซี (Omikuji) คำทำนายจะเป็นใบกระดาษแบบสุ่มหยิบ ถ้าได้คำทำนายที่ไม่ดีสามารถไม่รับได้ โดยการพันไว้ที่เสา ฝากไว้กับวัด

ป้ายขอพร "เอมะ" เป็นแผ่นไม้ขนาดเท่าฝ่ามือ มีไว้สำหรับเขียนคำอธิษฐานให้สมหวังหรือเขียนขอบคุณหลังคำอธิษฐานสมหวัง ในอดีตแผ่นป้ายจะมีภาพวาดรูปม้า แต่ปัจจุบันได้มีการเปลี่ยนแปลงทั้งรูปแบบและลวดลายของป้ายขอพรไปตามสถานที่นั้นๆ เราควรเขียนคำอธิษฐานบนป้ายขอพรเอมะฝั่งที่ไม่มีรูปวาด และใช้ปากกากันน้ำเพื่อไม่ให้ข้อความอธิษฐานของเราเลือนหายไปกับน้ำฝน

EMA : Wooding Wishing Board 

เดินกลับโดยลงบันไดไปด้านล่าง

วัดตั้งอยู่บนเนินสูงเชียวค่ะ

ลงบันไดแล้วก็เดินย้อนกลับไปตามทางที่เดินเข้ามาค่ะ


รูปสุดท้ายด้านหน้าวัดก่อนกลับ

เวลา 13:30 น.นั่งแท็กซี่กลับที่สถานีรถไฟ เพื่อเดินทางต่อไปยังตัวเมืองเกียวโต

เวลา 14:00 น.เดินทางมาถึง Kyoto Station


Kyoto Tower

เกียวโตทาวเวอร์ โดดเด่นอยู่ด้านหน้าสถานีรถไฟ

วันนี้พวกเราต้องทำเวลาในการเที่ยวเพราะหน้าหนาวจะมืดไวมาก คุณป๋าเลยพานั่งแท็กซี่ค่ะ

เวลา 14:20 น.เดินทางมาถึงวัดน้ำใส รถมาจอดให้ลงบริเวณลานจอดรถ

ทางเดินเข้าวัดจะขึ้นเนินไปเรื่อยๆ

มีร้านขายขนมและของกินเล่นมากมาย

เดินต่อไปตามถนน Matsubaru-dori

ย่านซันเนซากะ (Sannenzaka Ninenzaka)

Higashiyama Walking Map

ทางเดินยาวประมาณ 400 เมตร สองข้างเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านขายของที่ระลึก ร้านอาหารและร้านขนม

ร้านนี้คนแน่นร้านเลยค่ะ

ร้านขายพัดกระดาษญี่ปุ่นหลากสีและลวดลาย

ของที่ระลึกค่อยซื้อตอนเดินกลับค่ะ

Nio-mon
This is the main entrance of Kiyomizu-dera Temple. It was burnt down during a civil war in 1469 
and reconstructed around 1500. In 2003, the gate was taken apart and refurbished. 

วัดคิโยมิสึ (Kiyomizu-dera) หรือที่เราคุ้นเคยกันดีในชื่อ “วัดน้ำใส” 
ประตู Nio-mon เป็นประตูหลักของวัดน้ำใสที่แยกออกมาจากส่วนของตัววัด ของเก่านั้นถูกไฟไหม้เมื่อสมัยสงครามในศตวรรษที่ 14 สร้างขึ้นใหม่เมื่อต้นศวรรษที่ 16 และปรับปรุงใหม่เมื่อปี ค.ศ. 2003

This magnificent two-story gate measures approximately 10 m.wide, 5 m. long, 14 m. high,
 and displays unique features of the era when it was rebuilt.

Sai-mon (West gate)
The present building was reconstructed in 1633. With the spectacular views of the sunset from the site of Sai-mon, it has long been considered a gateway to Paradise and is known as a sacred place for Nissokan, one of the meditation practices for visualizing the Pure Land.

เดินผ่านซุ้มประตูไม้เข้ามาจะพบกับซุ้มประตูตะวันตกไซมอน 
ซุ้มที่เห็นในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ. 1631 เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินของวัด

Guide Map of Kiyomizu-Dera Temple

Bell Tower
The huge 2.3 ton bell was cast in 1478. The whole structure was rebuilt in 1607.

Zuigu-do Hall
This building was constructed in 1735. The principal image of this hall is the Daizuigu Bodhisattva, which kindly hears the desires and aspirations of each and every person. Shinto and Buddhist deities of matchmaking, safe birth, and child rearing are also enshrined here.

ศาลาซุยกุโด สร้างขึ้นในค.ศ. 1718 มีภาพที่สำคัญเป็นภาพพระโพธิสัตว์ 
ที่คอยรับฟังความปรารถนาและแรงบันดาลใจของแต่ละคนและทุกคน

Kiyomizu-dera Sanjunoto (Three Story Pagoda)

It is one of the tallest of its kind in Japan, standing at 31 meters high. The current structure dates from a reconstruction carried out in 1633, when its original red coloring was also restored. 

เจดีย์สีแดงส้มสามชั้นสูง 31 เมตร 

การเข้าชมรอบๆ วัดบริเวณนี้ไม่เสียค่าเข้าชม 

ซื้อตั๋วเข้าชมศาลาไม้ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาและบริเวณน้ำสามสาย  คนละ 400 เยน

ด้านหลังเจดีย์คือ Kyo-do (Sutra Hall) ทางเข้าอยู่ด้านข้างศาลานี้

อ่างล้างมือก่อนเข้าวัดตามธรรมเนียม

เดินเข้าไปด้านในตามป้ายบอกทาง

Todoroki-Mon (Middle Gate)

เดินผ่านซุ้มประตูตรงกลางเพื่อเข้าสู่อาคารหลัก (Main Hall) ตามแผนที่

แวะชมใบไม้เปลี่ยนตรงระเบียงทางเดิน

ท้องฟ้ามีเมฆมากเลยถ่ายรูปใบไม้เปลี่ยนสีไม่ค่อยสวย

ของจริงที่มองด้วยตาเปล่าจะเห็นใบไม้เปลี่ยนสีแดงจัดมากค่ะ

มองไปทางไหนก็สีสันสดใส

ด้านหน้าคืออาคารหลัก

มองเห็นโตเกียวทาวเวอร์อยู่ไม่ไกล


Koyasu Pagoda 

Koyasu means "an easy childbirth". It is said that when a pregnant woman reaches the red coloured three-storied pagoda the baby will arrive safely. The pagoda belongs to the Taisanji Temple and was rebuilt in 1500. Koyasu was moved to the current location in 1911.

เจดีย์สามชั้นที่อยู่บนเนินเขาทางทิศตะวันตกก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดคิโยมิสึเดระ
มีชื่อเสียงในด้านการขอพรเรื่องครอบครัวและบุตร

Otowa no taki (Otowa Waterfall)
Kiyomizu-dera Temple originates from Otowa Waterfall and takes its name from the pureness of the waters. The clear, gushing waters have long been called "Konjiki-sui" (golden water) 
or "Enmei-sui" (life-prolonging water) and are suitable for use in purification. 

ด้านล่างคือน้ำตกโอโตวะ คนญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ พวกเราค่อยแวะไปตอนเดินลงค่ะ

ทางเดินในอาคารหลัก

ภายในอาคารหลักประดิษฐานองค์พระโพธิสัตว์พันกรเป็นองค์ประธาน
พวกเราไม่ได้เข้าไปด้านในค่ะ ดูรูปจากเวปไซต์ของวัด

The principal image of Kiyomizu, the statue of the Eleven-headed Thousand-armed Kannon Bodhisattva is enshrined in the innermost section of the Hall. 

โคมไฟสีทองตรงทางเดินใหญ่มาก


วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะ คนยืนกันเต็มระเบียงหามุมถ่ายรูปยากมากเลยค่ะ

Okuno-in Hall
It stands directly above Otowa Waterfall. The present building was rebuilt at the same time as the Main Hall in 1633. Okuno-in also boasts a spacious stage constructed using a unique method, just like the Main Hall.

อาคารโอคุโนะอิงสร้างแบบเดียวอาคารหลัก(ฮอนโดะ) แต่มีขนาดเล็กกว่า
โอคุโนะอิงตั้งอยู่เหนือน้ำตกโอโตวะ ระเบียงด้านหน้าเป็นจุดชมอาคารหลักหลังนี้

Amida-Do (Amida Hall) and Okuno-in Hall

The beautiful Okuno-in Hall is like a smaller version of Hondo(the main hall).

ป้ายขอพร (EMA) เขียนสิ่งที่ปรารถนาแล้วมาแขวนไว้ตรงระเบียงของอาคารหลัก
 ส่วนมากจะขอเรื่องสุขภาพ การงาน การเรียน และ ความรัก


เดินชมวิวตามระเบียงด้านหน้าอาคารหลัก


บันไดทางลงไปที่น้ำตกโอโตวะ

 Near the Amida Buddha are halls dedicated to Shaka Buddha (the historical Buddha)
 , as well as a small hall with nearly 200 stone statues of Jizo, the protector of children and travelers. 


ด้านในโอคุโนะอิงกำลังมีการทำพิธีคนเยอะมาก
นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเพื่อสักการะและขอพรจากองค์พระโพธิสัตว์เจ้าแม่กวนอิม 11 พักตร์ 1000 กร ซึ่งเป็นพระประธานของวัด และที่นี่ยังเป็นที่ประดิษฐานของเทพเอบิสึผู้เป็นเทพเจ้าแห่งความร่ำรวยมั่งคั่ง

เดินไปชมวิวที่ระเบียงหน้าอาคารค่ะ

มุมมหาชน

วิวอาคารหลัก ใบไม้สีแดง และวิวเมืองเกียวโต

อาคารหลักของวัดคิโยมิสึนั้นได้ปิดปรับปรุงเพื่อซ่อมแซมตัวอาคารและหลังคาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2017 ซึ่งเป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ในรอบ 50 ปี จนเสร็จสมบูรณ์ในเดือนธันวาคม 2020
 รวมใช้เวลาซ่อมแซมบูรณะวัดประมาณ 4 ปี ตอนนี้พวกเราได้มาชมในแบบสวยงามเลยค่ะ

The stunning view of the Main Hall stage and the Kyoto cityscape from here make it a favorite photo opportunity for visitors.

Hondo (Main hall)
The Main Hall in Kiyomizu-dera Temple, which stands on the steep cliff of Mt. Otowa, is a renowned wooden structure reconstructed in 1633. Using a traditional Japanese method of construction, it was built solidly enough to support the stage, which is always bustling with many visitors.

 Overhanging the hall is an imposing veranda, called Kiyomizu Stage. Its stands nearly 13 meters high, almost equal to a four-story building. The stage is supported by 18 pillars made from 400-odd-year-old zelkova trees, the largest of which isapproximately 12 meters high and 2 meters in girth. These pillars are joined with a number of rails, which penetrate through each pillar and form joints to strengthen the overall structure without using a single nail.

ฮอนโดะอาคารหลักของวัดคิโยมิสุเดระ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เป็นไฮไลต์ของที่นี่ ตั้งอยู่บนไหล่เขาโอตาวะ 
สร้างขึ้นในสมัยช่วงต้นของยุคเฮอันเกียว ตัววัดก่อสร้างด้วยไม้เกือบทั้งหมด โดดเด่นด้วยเสาที่ค้ำยันระเบียงวัดขนาดใหญ่ เสาดังกล่าวประกอบไปด้วยเสาไม้ขนาดใหญ่จำนวนร้อยกว่าต้น สร้างขึ้นด้วยไม้ขนาดใหญ่สูงจากพื้น 12 เมตร โดยไม่ใช้ตะปูแม้แต่ตัวเดียว เนื่องจากช่างไม้ใช้วิธีเข้าลิ่มด้วยภูมิปัญญาของชาวญี่ปุ่นโบราณ อาคารไม้หลังนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี 1994
 จากองค์การยูเนสโกในฐานะส่วนหนึ่งของอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์เมืองเกียวโต

เก็บภาพสวยงามจนเต็มอิ่มก็เดินลงไปด้านล่าง

ทางเดินลงเขาเพื่อชมใบไม้เปลี่ยนสี



รูปปั้น JIZO เป็นรุปปั้นพระพุทธรูปหิน ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นเทพเจ้าที่คอยดูแลปกป้องเด็กและคนที่เดินทาง 

ข้างหน้าคือฮอนโดะ


เดินมาถึงน้ำตกโอโตวะ จุดไฮไลท์อีกแห่งของวัดนี้ค่ะ
ชาวญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า หากผู้ใดได้ดื่มน้ำใสที่วัดคิโยมิสึ จะสมปรารถนาในสิ่งที่หวังไว้ โดยสายน้ำ 3 สายนั้นมีความศักดิ์สิทธิ์แตกต่างกันออกไป ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่นิยมดื่มน้ำทั้ง 3 สายรวมกัน
หากดื่มน้ำสายที่ 1 จะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา
หากดื่มน้ำสายที่ 2 จะสมหวังด้านความรัก
หากดื่มน้ำสายที่ 3 จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว

Visitors catch each of the three streams of pure water with ladles and pray for purification of their six senses and to make their wishes come true. Each of the streams is believed to have a different effect such as bringing success, love and longevity. 

ด้านหน้าคือบันไดทางลงมาจากฮอนโดะเพื่อมาที่น้ำตกเลยไม่ต้องเดินอ้อม

เสาไม้สูงที่รองรับส่วนระเบียงไม้ของฮอนโดะ มองจากข้างล่างแล้วสูงใหญ่มากค่ะ

อาคารโอคุโนะอิงที่ตั้งอยู่บนน้ำตกโอโตวะ

เดินไปตามทางออกชมใบไม้เปลี่ยนสี


ซุ้มใบไม้เปลี่ยนสีสวยงามมาก







บันไดทางขึ้นไปยังเจดีย์สามชั้น



สระน้ำและสวนเล็กๆ




เดินมาถึงทางออกแล้วค่ะ


เดินย้อนกลับไปทางเดิมตามถนน Matsubaru-dori

แวะซื้อขนมและของที่ระลึกก่อนกลับ

นั่งแท็กซี่กลับมาที่สถานีเกียวโตแล้วนั่ง JR Nara Line ไป Inari Station

เวลา 16:30 น.นั่งรถไฟประมาณ 5 นาทีก็เดินทางมาถึง Inari Station

 ด้านหน้าสถานีคือทางเข้าศาลเจ้าจิ้งจอก มีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกที่ปากคาบรวงข้าว ที่หางมีอัญมณี

Foxes here are said to be the messengers of the god of Inari. Each fox has one of four classical charms mostly in its mouth, or on the end of its tail.  This fox has ears of rice and a treasure ball.

รูปปั้นสุนัขจิ้งจอกขาว มักคาบวัตถุบางอย่างไว้ในปากหรือใต้อุ้งเท้าหน้า 
วัตถุทั้งสี่อย่างนี้เป็นสัญลักษณ์สื่อความหมายต่างกัน 
รวงข้าว : การเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ 
กุญแจ : กุญแจของยุ้งฉาง เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง,อุดมสมบูรณ์และความสมปรารถนา 
ม้วนหนังสือ : พระไตรปิฎก
อัญมณี : ความสมปรารถนา

Great Torii

Fushimi Inari Shrine (Fushimi Inari Taisha) is an important Shinto shrine in southern Kyoto. 
The shrine sits at the base of a mountain also named Inari which is 233 metres above sea level.

ประตูเสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่เป็นทางเข้าศาลเจ้า พระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าจะเริ่มมืดแล้ว

ด้านหน้าคือทางเข้าอาคารหลักของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ

At the shrine's entrance stands the Romon Gate, which was donated in 1589 by the famous leader Toyotomi Hideyoshi. Behind stands the shrine's main hall (honden).

Always open and Admission Free

ดูจากแผนที่พวกเราอยู่ตรงจุดสีแดง ทางขวามือคือศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ
ทางซ้ายมือคือทางไปอุโมงค์โทริอิ พวกเราจะไปทางนี้ก่อนเพราะใกล้จะมืดแล้วค่ะ

ทางไปอุโมงค์โทริอิมีร้านขายของเรียงเป็นแนวยาว


มป ขอแปลงร่างเป็นจิ้งจอกขาวก่อนค่ะ

At the back of the shrine's main grounds is the entrance to the torii gate-covered hiking trail.

ด้านหลังเสาโทริอิคือบันไดทางขึ้นมีรูปปั้นสุนัขจิ้งจอกคู่ผูกผ้ากันเปื้อนสีแดงที่คอ ปากคาบม้วนกระดาษ

ด้านข้างรูปปั้นเป็นศาลาเพื่อไหว้พระขอพร

เดินขึ้นบันไดผ่านซุ้มเสาโทริอิ ศาลาทางขวามือคือ Shinme (sacred horse)

มีป้ายบอกทางไปอุโมงค์โทริอิ

ขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวขวาที่ซุ้มเสาด้านบน

ทางเข้าอุโมงค์โทริอิส่วนแรก

เสาโทริอิส่วนนี้จะมีขนาดสูงและใหญ่มาก

เสาเป็นสีแดงก็เพราะเชื่อว่าจะขับไล่ความอัปมงคลออกไป สีแดงนี้ยังได้มาจากปรอทและดินแดงซึ่งใช้กันมาแต่โบราณเพื่อรักษาสภาพเนื้อไม้ อย่างไรก็ตามทั้งลมและฝนก็ทำให้เสาเหล่านี้ผุพังง่าย อย่างที่ศาลเจ้าฟุชิมิอินาริไทฉะก็มีการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเสาเฉลี่ยวันละประมาณ 3 ต้น

เดินไปจนสุดทาง

It starts with two dense, parallel rows of gates called Senbon Torii ("thousands of torii gates").

ตรงนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของเซ็มบงโทริอิ(เสาโทริอิพันต้น) ให้เดินเข้าอุโมงค์ทางขวาก่อน

The highlight of the shrine is the rows of torii gates, known as Senbon Torii.

 The custom to donate a torii began spreading from the Edo period (1603–1868) to have a wish come true or in gratitude for a wish that came true, with successive gates being added up to the present day by donors out of gratitude. 

อุโมงค์โทริอิยาวประมาณร้อยเมตร บริเวณนี้มีโทริอิหนาแน่นและสวยที่สุด 

Along the main path there are around 800 torii gates.

เสาโทริอิแต่ละต้นจะมีชื่อผู้สร้างเพื่อนำมาถวายแด่เทพเจ้าเพื่อความเป็นสิริมงคล

The torii gates along the entire trail are donations by individuals and companies, and we will find the donator's name and the date of the donation inscribed on the back of each gate. The donation amount starts around 400,000 yen for a smaller gate and increases to over one million yen for a large gate

Okusha Hohaisho (Okuno-in) 
อุโมงค์ทั้งสองทางไปสิ้นสุดที่เดียวกันคือ ศาลเจ้าโอคุโนะอิน เป็นที่ไหว้ขอพร ขายเครื่องรางและเอมะ

ทางเดินขึ้นไปยังด้านบนภูเขาอินาริ (Mount Inari) ความสูง 233 เมตร 
มีเสาโทริอิทุกขนาดนับหมื่นคู่เรียงกันเป็นอุโมงค์ หลายคนจึงเรียกว่าเป็น "ศาลเจ้าเสาแดง" 

ศาลเจ้าดั้งเดิมสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 711 เพื่อบูชาเทพอินาริซึ่งเป็นเทพแห่งการเพาะปลูกข้าวและเกษตรกรรม และเชื่อกันว่าสุนัขจิ้งจอกเป็นผู้ส่งสารของเทพอินาริ จึงมีรูปปั้นของสุนัขจิ้งจอกอยู่เต็มศาลเจ้าแห่งนี้

ในสมัยโบราณบูชาเทพอินาริเพื่อขอให้การเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ ขอให้ฝนตกเหมาะสมต่อพืชผลไร่นา 
พอยุคสมัยเปลี่ยนไป คำขอของผู้คนก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา

อุโมงค์ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนขึ้นมาแล้วค่ะเพราะเป็นทางขึ้นเขาต้องเดินไกล

เริ่มเปิดไฟในอุโมงค์เพราะพระอาทิตย์ตกมืดแล้ว 

ทางเดินขึ้นเขาประมาณ 4 กม.น่าจะใช้เวลา 2-3 ชม.พวกเรามาเย็นใกล้มืดเลยไม่ได้เดินจนถึงด้านบนค่ะ

พอสุดทางอุโมงค์ส่วนนี้คุณป๋าชวนเดินกลับค่ะ

ทางแยกเพื่อจะเดินลงไปทางออก



Two foxes have a key to a granary and a treasure ball.

ศาลเจ้าเล็กๆตรงทางลง

Gonden : ศาลเจ้าเพื่อไหว้ขอพรอยู่ด้านข้างอาคารหลัก

อาคารหลักด้านข้าง

ป้ายขอพรเป็นรูปเสาโทริอิสีแดงอันละ 1000 เยน

Gehaiden: The Stage hall to offer the dances to the God.

Honden (main hall) 
The main shrine structure was rebuilt in 1499

ตอนกลางคืนมีการแสดงแสงสีบริเวณหน้าอาคารหลักของศาลเจ้า

 Main hall (honden) where all visitors are encouraged to pay respect to the resident deity by making a small offering.

ชมแสงสีเสร็จก็กลับกันค่ะ

เดินย้อนกลับทางเดิม

ด้านหน้าตรงทางเข้ามีบ่อน้ำให้ชำระร่างกายก่อนเข้าเยี่ยมชมศาลเจ้า

ประตู Romon

ที่พื้นตรงทางเดินออกมีการฉายแสงเป็นรูปสุนัขจิ้งจอกหลายแบบ

เวลา 17:30 น.นั่งรถไฟกลับไปสถานีเกียวโต

ทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารในสถานีเกียวโต


เวลา 18:30 น.นั่งรถไฟกลับที่พักในเมืองโอซาก้า