TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2560/12/01

1.มงมาร์ต-ล่องแม่น้ำแซนน์-พระราชวังแวร์ซายส์


วันอังคารที่ 24 ตุลาคม 2561
เวลา 8:00 น.อาบน้ำแต่งตัวเสร็จก็ลงมาทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม 

เวลา 8:30 น.เดินทางมาถึงสถานีรถไฟดีจอง GARE DE DIJON 


ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งชั่วโมงกว่ารถไฟจะออก ไปเดินเล่นรอบๆสถานีกันก่อนค่ะ 



บริเวณศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมีป้ายแนะนำำสถานที่ท่องเที่ยวในเมือง 

เมืองดีจองอยู่ทางตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส แคว้นเบอกันดี

อากาศค่อนข้างเย็นประมาณ 15 องศา ใบไม้เปลี่ยนสีเยอะแล้วค่ะ


 ใบไม้แดง-ใบไม้เหลือง 





รถรางวิ่งในตัวเมือง ทำำให้เดินทางไปที่ต่างๆสะดวก 





คนส่วนมากนิยมขี่จักรยาน มีที่จอดและล็อครถได้ 




ตัวเมืองดูสงบไม่พลุกพล่าน ถ้ามีเวลามากพอ น่าเดินเล่นมากๆค่ะ


ใกล้เวลารถไฟจะมาแล้วค่ะ เข้าไปนั่งคอยในสถานี



เวลา 9:00น.ออกเดินทางโดยรถไฟด่วน TGV (Train A Grande Vitesse) ไปปารีส 
ระยะทาง 262 กม.ใช้เวลาประมาณ 1.5 ชั่วโมง ราคาคนละ 20 ยูโร (รถวิ่งเร็วมาก ไม่สามารถถ่ายรูปวิวด้านนอกได้เลยค่ะ55)


เวลา 10:40 น.เดินทางมาถึงปารีส 
TGV ขบวนนี้พาเรามาถึงอย่างรวดเร็ว สะดวก สบาย 


Paris Gare de Lyon


 เป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่มี 2 ชั้น 




ออกไปขึ้นรถบัสด้านนอกค่ะ

เวลา 11:30 น.ทานอาหารกลางวัน ในตัวเมืองใกล้ๆย่านมงมาร์ต


ทานอาหารเสร็จก็เดินไปย่านมงมาร์ต(Montmartre) 
ตรงนี้คือสถานีรถไฟใต้ดินมองมาร์ต ป้ายสวยดีค่ะ 


สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านขายของที่ระลึก ร้านขนม ร้านไอศกรีม เดินเล่นเพลิดเพลินมากๆ


ย่านนี้เคยถูกเรียกว่า “Mount of Mars” หรือภูเขาศักดิ์สิทธิ์แห่งนครปารีส

 เนินนี้มีความสูงเพียง 130 เมตร แต่เพราะแผ่นดินรอบแม่น้ำแซนน์เป็นที่ราบต่ำ
 จึงทำำให้มงมาร์ตดูโดดเด่นเหมือนเป็นภูเขา 


ลานด้านหน้าคือ Square Louise Michel ทางซ้ายมือเป็นทางที่ไปขึ้นรถรางเพื่อขึ้นไปด้านบน 
แต่พวกเราจะเดินขึ้นบันไดกันค่ะ อยากถ่ายรูปและชมวิวไปเรื่อยๆ



วิหารซาแครเกอร์-มหาวิหารพระหฤทัยแห่งมงมาร์ท (Basilique du Sacre-Coeur de Montmartre)
 เป็นโบสถ์และมหาวิหารรองในคริสตจักรโรมันคาทอลิก สร้างขึ้นเพื่ออุทิศแก่พระหฤทัยของพระเยซู 


ปัจจุบันถือเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวสำำคัญของปารีส 



สถาปนิกเจ้าของโครงการคือ โปล อะบาดี เรียกว่า สถาปัตยกรรมแบบโรมัน-ไบแซนไทน์ 
(Romano-Byzantine) สร้างเสร็จสิ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปีค.ศ.1919

ซาแครเกอร์ แปลว่า โบสถ์หัวใจศักดิ์สิทธิ์ ด้านหน้ามีอนุสาวรีย์อัศวินขี่ม้าขนาบ 2 ด้าน
ด้านซ้ายคือเซนต์หลุยส์ ส่วนด้านขวาคือ Joan of Arc วีรสตรีผู้โด่งดังที่สุดของฝรั่งเศส 


ตัวโบสต์ก่อสร้างจากหินปูนประเภททราเวอร์ทีน ซึ่งมีเหมืองตั้งอยู่ที่เมือง ชาโต้-ลองดง ในเขตชานเมืองปารีส โดยคุณสมบัติพิเศษของหินชนิดนี้จะมีการคายแคลเซียมออกมาเป็นระยะ ทำำให้สิ่งปลูกสร้างคงความขาวได้นานในสภาวะภูมิอากาศต่างๆ 

พักชมวิวด้านล่าง



ภายในวิหารมีภาพโมเสกขนาดใหญ่ที่สุดของโลกที่ทุกคนควรไปชมคือ Great Mosaic of Christ
ค่าเข้าชมด้านในวิหารคนละ 5 ยูโร 

ขอบคุณภาพจาก wikipedia

ต้องเดินขึ้นไปอีกแต่คุณป๋าหมดแรงและมีเวลาไม่มาก เลยเดินเล่นรอบๆวิหารด้านล่างค่ะ 

ข้างบนนี้อากาศเย็นสบายมากๆไม่มีแดด ฝนเพิ่งหยุดตก มองไปเห็นวิวของปารีสได้ค่อนข้างไกล


บริเวณทางเดินด้านล่างนี้จะมีพวกคนผิวดำำจำำนวนมากมาหลอกเอาเงินนักท่องเที่ยว ด้วยการขอมือเราให้ช่วยถือเส้นด้ายสีต่างๆ หรือบางทีก็เอามาผูกข้อมือแล้วบังคับให้เราซื้อด้วยราคาแพงมาก เราต้องเดินหนีให้เร็วที่สุดไม่ต้องไปมองหน้าหรือไปสัมผัสมือพวกนี้โดยเด็ดขาด ไม่ต้องไปพูดด้วยจะปลอดภัยค่ะ 

ขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางเข้าไปกลางเมืองปารีสเราจะไปล่องเรือกันค่ะ
 ผ่านถนนชอง เอลิเซ่(Champs Elysees)


เวลา 13:30 น.ไปล่องเรือบาโต มูซ(Bateaux Mouches) ล่องไปตามแม่น้ำแซนน์ที่ไหลผ่านใจกลางกรุงปารีส


Bateaux ในภาษาฝรั่งเศสแปลว่าเรือ Mouches แปลว่าแมลงวัน 
แต่มูซในที่นี้มาจากคำำว่า la Mouche ซึ่งเป็นย่านทางตอนใต้ของเมืองลียง โดยที่นี่ได้มีการสร้างเรือ Bateaux Mouches ลำำแรกขึ้นมาเมื่อปี ค.ศ. 1867 เพื่อพาผู้คนล่องเรือในนิทรรศการ Universelle ที่เมืองลียง หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลง Jean Bruel ผู้ก่อตั้งบริษัท Bateaux Mouches เห็นว่าบ้านเมืองยังมีความงดงามมาก จึงได้สร้างเรือบาโต มูซขึ้นมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ชมความงามของกรุงปารีสด้วยการล่องเรือในแม่น้ำแซนน์ 



หลังจากซื้อตั๋วแล้ว เราจะได้แผนที่การล่องเรือคนละใบค่ะ (เป็นภาษาไทยด้วย)


ที่ตั้งกรุงปารีสนั้นจะมีแม่น้ำแซนน์ไหลผ่านใจกลางเมือง เรือจะแล่นผ่านสถานที่สำคัญและสวยงามมากมาย 


ท่าเทียบเรืออยู่ตรงข้ามหอไอเฟล บริเวณสะพาน Pont des Invalides


Bateaux Mouches เป็นเรือสองชั้น ชั้นล่างมีกระจกโดยรอบและมีเครื่องทำำความร้อน 
สามารถขึ้นไปชมวิวทิวทัศน์ได้ที่ดาดฟ้าชั้นบน การล่องเรือจะใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงกับอีกสิบนาที 


ผ่านสะพานอเล็กซานเดอร์ที่ 3 (Pont Alexandre III) ซี่งเชื่อมฝั่งหอไอเฟลกับฝั่งชองเอลิเซ 


กล่าวกันว่าเป็นสะพานที่สวยและหรูหราที่สุดในปารีส 
ตัวสะพานประกอบด้วยโคมไฟหรูหรา รูปปั้นทูตสวรรค์ เทพธิดาที่ดูอ่อนช้อยงดงาม




 เสาที่อยู่ตรงหัวสะพานทั้งสองข้างมีเพกาซัสสีทองโดดเด่น


สะพานสร้างในปี ค.ศ.1896-1900 โดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติแด่จักรพรรดิอเล็กซานเดอร์ที่ 3 แห่งรัสเซีย 
ที่ได้ทำำสัญญาพันธมิตรกันในปี ค.ศ.1982 มีความยาว 107 เมตร 


Palais Bourbon (Assemblee Nationale) ตึกสภาผู้แทนราษฎร หรือ ตำำหนักบูร์บง 

Pont de La Concorde 

เรือจะวิ่งคนละช่องทางกันทั้งไปและกลับ 


พวกเราลงมาปักหลักถ่ายรูปกันที่ท้ายเรือค่ะ มุมกว้างดีไม่มีคนบังวิว 

มีสะพานข้ามแม่น้ำแซนน์หลายอัน ทั้งแบบเดินข้ามและรถข้าม



 Musee d'Orsay-พิพิธภัณฑ์ออแซร์ 

เป็นที่เก็บรวบรวมศิลปะแนวอิมเพรสชั่นนิสม์ที่สวยงามและมีชื่อเสียง
เช่นผลงานของ โมเน่ต์ มาเน่ต์ เลอนัวร์ โกแกง แวนโก๊ะ เซซานน์

Institut de France-สถาบันฝรั่งเศส มีสะพานคนเดิน Pont des Arts เชื่อมกับฝั่งพิพิธภัณฑ์ลูฟร์


Pont Neuf-ปงเนิฟ สะพานเก่าแก่ที่สุดในปารีส ยาว 232 เมตร กว้าง 22 เมตร 
เปิดใช้งานตั้งแต่ปี ค.ศ.1607


พระบรมรูปสำำริดพระเจ้าอองรีที่ 4 :Henry IV of France ทรงหลังม้า อยู่ตรงปลายปงเนิฟ


ปงเนิฟเป็นสะพานที่แยกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกเชื่อมฝั่งซ้ายกับเกาะอิลเดอลาซีเต้ (Ile de la Cite)
 กับอีกส่วนเชื่อมเกาะกับฝั่งขวาของแม่น้ำแซนน์

โบสถ์ Notre Dame de Paris ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำแซนน์




เกาะเล็กๆอีกส่วนด้านขวาคือ คือ Ile Saint Louise 


โดยเรือจะย้อนกลับตรงปลายแหลมสุดของเกาะนี้ 




Pont de la Tournelle เป็นสะพานเชื่อมระหว่างฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแซนน์กับ Ile Saint Louise 
จุดเด่นคือที่ปลายสะพานมี A statue of St.Genevieve, the patron of Paris


สวนสาธารณะบนเกาะกลางแม่น้ำในจตุรัสแวร์กาลอง 


 Conciergerie กงซีแยร์เฌอรี หรืออีกชื่อคือ Palais de la Cite
เป็นพระราชวังหลวงของกษัตริย์ฝรั่งเศส ต่อมาในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสได้ถูกใช้เป็นเรือนจำำเพื่อคุมขังนักโทษ 


ปัจจุบันตัวอาคารเป็นส่วนหนึ่งของศาลฎีกา

ขากลับเรือจะแล่นเลียบอีกชายฝั่งหนึ่งของแม่น้ำแซนน์


ปงเนิฟอีกส่วนหนึ่งที่อยู่คนละฝั่งของเกาะ อนุสาวรีย์พระเจ้าอองรีที่ 4 โดดเด่นมองเห็นแต่ไกล




ย้อนกลับเส้นทางเดิมแต่แล่นคนละฝั่งแม่น้ำ วิวเหมือนเดิม 




วันนี้อากาศดีไม่มีแดด ลมก็เย็น ทำให้การล่องเรือทริปนี้สนุกมากๆค่ะ 


ใกล้จะถึงท่าเรือแล้วค่ะ 

นักท่องเที่ยวเกือบทุกคนรีบเก็บภาพคู่หอไอเฟล


ท่าเรืออยู่ใกล้ๆ Pont de l’Alma สถานที่เกิดอุบัติเหตุของเลดี้ไดอาน่า 


หอไอเฟลจะอยู่ฝั่งตรงกันข้ามท่าเรือพอดี 


ตรงนี้จะเป็นมุมที่ได้ถ่ายรูปกับหอไอเฟลใกล้ที่สุด 



มะปรางเก็บภาพหอไอเฟลทุกมุม 

ภาพสุดท้ายก่อนกลับ สรุปใช้เวลาในการล่องเรือประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆค่ะ

เวลา 15:00 น. ออกเดินทางไปยังพระราชวังแวร์ซายย์ ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส 
ระยะทาง 20 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.เพราะในเมืองรถติดมากค่ะ


เวลา 16:00 น.มาถึงทางเข้าพระราชวังแวร์ซายส์ : Chateau de Versailles


Chateau de Versailles Map แผนผังภายในพระราชวังรวมไปถึงสวนทั้งหมด 


ด้านหน้าตรงประตูทางเข้าเราจะเห็นอนุสาวรีย์พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์ และเป็นกษัตริย์ที่ทรงอำำนาจยิ่งใหญ่ของยุโรป และเป็นยุคสมัยที่ทำำให้วัฒนธรรมฝรั่งเศส ภาษาฝรั่งเศส การแต่งกายด้วยรสนิยมอันหรูหราได้รับการยอมรับมาจนถึงปัจจุบัน


 พระราชวังแวร์ซายได้รับการจดทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ
ครั้งที่ 3 เมื่อปี พ.ศ. 2522 ที่ประเทศอียิปต์ และเป็น 1 ใน 7 สิ่งมห้ศจรรย์ของโลกในยุคปัจจุบัน
วังนี้เป็นส่วนหนึ่งของแรงผลักดันให้เกิดการปฏิวัติครั้งใหญ่ในฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1789
 และต่อมาในปี ค.ศ.1895 พระเจ้าหลุยส์-ฟิลิปป์ได้เปลี่ยนพระราชวังให้เป็นพิพิธภัณฑ์


มีทหารถือปืนเดินตรวจความเรียบร้อยทั่วบริเวณ 


ประตูเหล็กสีทองอร่ามเด่นมากค่ะ แต่ประตูนี้ไม่ได้เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้า 

เราต้องเข้าทางประตูด้านข้าง เพื่อเข้าไปตรวจกระเป๋าและผ่านเครื่องสแกนก่อนค่ะ
อาคาร A อยู่ทางซ้าย สำำหรับนักท่องเที่ยวที่มาแบบเดี่ยว
อาคาร B อยู่ทางขวาสำำหรับนักท่องเที่ยวแบบหมู่คณะ


 ห้ามนำำขากล้องหรือไม้เซลฟี่เข้าไปโดยเด็ดขาด 


ห้องน้ำอยู่ทางซ้ายมือ อาคาร A 


ค่าเข้าชมพระราชวังคนละ 15 ยูโร ค่าชมสวน คนละ 10 ยูโร
เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เข้าฟรีค่ะ 


เข้าห้องน้ำก่อนเข้าชมวัง เพราะด้านในไม่มีห้องน้ำค่ะ 


เดินขึ้นบันไดไปชมด้านในพระราชวังกันค่ะ 

แผนผัง ห้องต่างๆในพระราชวัง 

เดินเข้าที่ห้องหมายเลข 1 ก่อนค่ะ เป็นห้องหินอ่อนอิตาลีประดับขอบด้วยสีทอง 


 ภายในพระราชวังแวร์ซายมีทั้งหมด 700 ห้อง 
ภาพวาด 6,123 ภาพ และงานแกะสลักทั้งหมด 15,034 ชิ้น
 เป็นศิลปะแบบ Rococo (Louis XIV Style) เน้นสีทอง มีรูปปั้น ภาพวาดบนเพดาน ผ้าหลุยส์

Hercules drawing-room : ห้องเฮอร์คิวลิส 


เพดานเป็นภาพวาดเรื่องราวของเทพเจ้าเฮอร์คิวลิส ผู้ทรงพลังตามตำำนานกรีก
 สถาปนิกผู้ออกแบบห้องนี้ คือ โรแบร์ เดอ คอท 




ภาพวาดพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ผู้สร้างพระราชวังแวร์ซายส์


ภาพวาดพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 

เดินออกไปห้องถัดไปค่ะ

ห้อง Venus salon ใช้เป็นห้องรับรองราชทูตหรือแขกอย่างเป็นทางการ
 ตามประวัติศาสตร์บันทึกไว้ว่าโกษาปาน ราชทูตของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยา
 ตอนเดินทางไปถวายพระราชสาส์นแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ก็ได้เข้าพักในห้องวีนัสนี้ 

ตรงกลางห้องมีประติมากรรมเท่าพระองค์จริงของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ในชุดเครื่องแบบจักรพรรดิโรมัน 

เพดานห้องวีนัส เต็มไปด้วยภาพเทพธิดาแห่งความงามและความรัก 




รูปปั้นครึ่งตัวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14

Diana room : ห้องไดอาน่า ห้องนี้ใช้เป็นห้องพักผ่อน 

ที่ผนังทั้งสองด้านมีรูปเทพธิดาไดอาน่า(เทพีแห่งการล่าสัตว์)


ห้อง Mars salon สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นที่ฉลองชัยชนะจากศึกสงครามในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 


 Marie Leszczynska มารี เลซชินสกา มเหสีของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15


พระเจ้าหลุยส์ที่ 15

พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 (Louis XV 1710-1774) เป็นเหลนของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14


พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 (Louis XVI 1754-1793) เป็นหลานของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15

ท่านอภิเษกสมรสกับพระนางมารีอังตัวเนตและใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย 
ในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสพระเจ้าหลุยส์และครอบครัวถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยกิโยติน

ห้องอพอลโล ตั้งตามนามเทพอพอลโล เจ้าแห่งแสงสุริยาและความปราดเปรื่อง เป็นห้องทรงพระอักษร






พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 (Louis XIV 1638-1715) หลุยส์มหาราช หรือสุริยกษัตริย์

ทรงครองราชย์ยาวนานถึง 72 ปี และเป็นกษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในยุโรป 

War drawing room มีรูปสลักนูนต่ำของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงออกศึก
 เป็นห้องสำำหรับแขกคนพิเศษหรือราชทูตที่จะเข้าเฝ้าเป็นทางการได้เตรียมพร้อมในห้องนี้


ห้องกระจก (Galerie des Glaces หรือ The Hall of Mirrors) 
เป็นห้องที่มีชื่อเสียงมากที่สุดซึ่งเคยใช้เป็นห้องลงนามในสัญญาสงบศึกระหว่างสัมพันธมิตรกับจักรวรรดิเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 วันที่ 28 มิย ค.ศ.1919 และใช้เป็นที่ลงนามเมื่อครั้งเยอรมนีบุกตีชนะฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ อีกด้วย 





ห้องนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงทำำการก่อสร้างเอง ภายในห้องประกอบด้วยกระจกใสขนาดใหญ่ 17 บาน เปิดออกแล้วจะเห็นสวนแวร์ซายส์อันสวยงาม 


ด้านที่ติดกับสวนเป็นกระจกใส ส่วนอีกด้านเป็นกระจกเงาเพื่อให้สะท้อนภาพสวนของพระราชวัง
ทำำให้ห้องนี้ดูกว้างขวางขึ้น



มองจากหน้าต่างกระจกออกไปจะเห็นอุทยานแวร์ซายส์ขนาดใหญ่อยู่ล้อมรอบพระราชวัง
 ได้ตกแต่งอย่างสมบูรณ์แบบในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 


เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปในส่วน King Chamber


ผ่าน bull's eye room เป็นห้องหนึ่งมีช่องหน้าต่างด้านบนเป็นทรงรีขนาดใหญ่เหมือนดวงตา 
ใช้เป็นห้องรับรองแขกก่อนเข้าไปสู่ห้องกระจก


The King Chamber ห้องชุดพระเจ้าหลุยส์ 
ได้ถูกสร้างไว้พิเศษ มีประตูและบันไดลับที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ 

พระเจ้าหลุยส์ทุกพระองค์จะมีสนมมากมาย สนมคนใดถูกพระทัยจะได้ทรัพย์สินเงินทอง 
หรือตำำหนักส่วนตัวในห้องลับส่วนพระองค์ 

The Council Study


ห้องชุดส่วนตัวของพระราชินี อยู่อีกด้านหนึ่งของวังทางปีกซ้าย ถูกแยกออกไปคนละส่วน 
เป็นห้องรับรองแขกส่วนพระองค์ของพระราชินี ในห้องมีภาพวาดของพระนางมารีอังตัวเน็ตกับลูกๆ
 ตอนนี้ปิดปรับปรุง ไม่ให้เข้าชมค่ะ 


ภาพสุดท้ายก่อนออกไปด้านนอกค่ะ


 Marble courtyard เป็นลานหินอ่อนด้านหน้าพระราชวัง 
เป็นจุดที่ทุกคนควรจะแวะมาถ่ายภาพ 

พระราชวังเปิดให้เข้าชมเวลา 9:00-18:30 น.
พวกเราเข้าชมพระราชวังเป็นกลุ่มสุดท้าย ตอนนี้เลยไม่ค่อยมีคนแล้วค่ะ

พระราชวังปิดแล้วก็ออกมาเดินเล่นด้านนอกกันต่อค่ะ 


หลักฐานว่าพวกเราได้มาเหยียบเมืองแวร์ซายส์แล้วจริงๆ55


เดินเลียบรั้วไปด้านข้างพระราชวัง มีประตูทางเข้าอุทยานแวร์ซายส์
อุทยานนี้มีเนื้อที่ 14,820 เอเคอร์ ซึ่งใหญ่มากต้องใช้เวลาเป็นวันกว่าจะเดินชมได้หมด




เดินเล่นในเมืองแวร์ซาย 




เมืองเงียบสงบสะอาดดีค่ะ ตึกก็สวย 


เวลา 19:00 น.ทานอาหารเย็นในเมืองนี้ เป็นอาหารจีน 


เวลา 20:00น.เดินทางกลับที่พัก รร.Mercure Orly Paris Rungis 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น