TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2559/03/03

3.หอศิลป์ริมน่าน-วัดหนองบัว อ.ท่าวังผา-เที่ยวเมืองปัว-อุทยานแห่งชาติดอยภูคา

วันอาทิตย์ที่ 28 ก.พ.2559

เวลา 8:30 น.เก็บกระเป๋า เช็คเอ้าท์แล้วออกเดินทางต่อค่ะ




วันนี้เราจะขึ้นไปทางเหนือกันค่ะ จุดหมายคือ อ.ปัว ขับไปตามถนนสายน่าน-ท่าวังผา(กม.20)
เห็นป้ายทางขวามือ"หอศิลป์ริมน่าน"



แวะเข้าไปชมกันก่อนค่ะ เปิดเวลา 9:00น. ค่าเข้าชมคนละ 20 บาท(ถูกจังเลย)




เข้าไปจอดรถและเดินเล่นด้านในสวนก่อนนะคะ รอเวลาเปิดหอศิลป์




บ้านพักน่ารักทุกหลังเลยค่ะ



NAN RIVERSIDE ART GALLERY



อาคารขายของที่ระลึก





หุ่นรูปกระซิบรัก ทำจากโลหะ






ที่ตั้งอยู่ติดแม่น้ำน่าน (ยังมีน้ำเยอะอยู่เลย)




เฮือนหนานบัวผัน



ด้านล่างจัดแสดงภาพถ่ายจิตรกรรมฝาผนังเมืองน่าน ภาพสวยทุกรูปเลยค่ะ(ห้ามถ่ายรูป)



ด้านหลังนี้คือหอศิลป์ค่ะ



นิทรรศการภาพเขียนฝีมือเด็กๆจาก รร.ต่างๆ



ได้เวลาแล้ว...เข้าไปชมด้านในหอศิลป์ฯกันเลยค่ะ




ผู้ก่อตั้งและดำเนินการหอศิลป์ริมน่านคือศิลปินชาวน่าน คุณวินัย ปราบริปู




สะล้อหัวใจ❤️



ด้านในมีการจัดแสดงงานศิลป์สองชั้นค่ะ เดินตามเสือขาวขึ้นไปด้านบนได้เลย 
ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปงานศิลป์มาค่ะ เกรงใจผู้เข้าชมงานคนอื่น





ภาพวาดฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพฯ




ภาพวาดวัดภูมินทร์







เดินชมจนครบทั้งสองชั้นก็ออกมาเดินเล่นด้านนอกค่ะ




เวลา 10:00 น.ออกเดินทางขึ้นเหนือต่อไปยัง อ.ท่าวังผา




วัดหนองบัว



 ด้านหน้าวัด มีคุณตามานั่งเล่นสะล้อให้ฟัง เข้ากับบรรยากาศมากๆค่ะ




เป็นวัดเก่าแก่มีวิหารขนาดเล็กเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า สร้างขึ้นราวปี พ.ศ. 2405 (สมัยรัชกาลที่ 4)  
โดยครูบาหลวงสุนันต๊ะ เพื่อให้ให้เป็นวัดประจำหมู่บ้านหนองบัว




วิหารวัดหนองบัวเป็นสถาปัตยกรรมไทยล้านนาที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่ง





เข้าไปไหว้พระประธานด้านในค่ะ




ด้านในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณ เขียนระหว่าง พ.ศ. 2410-2499 (สมัยรัชกาลที่ 5)




แต่ละภาพมีการสะท้อนความเป็นอยู่ของผู้คนสมัยนั้น



ภาพส่วนใหญ่ลบเลือนไปเยอะเหมือนกัน




ชมภายในวัดเสร็จก็เดินไปทางด้านหลังจะพบกับหมู่บ้านไทลื้อ 
บ้านหนองบัวเป็นหมู่บ้านไทลื้อที่อพยพมาจากเมืองลา แคว้นสิบสองปันนา เมื่อหลายร้อยปีมาแล้ว




มีผ้าทอพื้นเมืองจำหน่ายด้วยค่ะ




ลักษณะบ้านแบบโบราณของชาวไทลื้อ




เวลา 12:00 น.แวะทานอาหารเที่ยงริมแม่น้ำน่าน




ออกเดินทางต่อไปยังเมืองปัว




กว่าง(ด้วงชนิดหนึ่ง)เป็นสัญลักษณ์ของ อ.ปัว




ก่อนเข้าตัวอำเภอปัว เราแวะที่วัดปรางค์ก่อน ที่นี่มีต้นไม้มหัศจรรย์อยู่ต้นหนึ่งค่ะ
ชื่อ"ต้นดิ๊กเดียม" เป็นไม้ยืนต้นหายาก



ลักษณะพิเศษคือ เมื่อเราเอามือลูบเบาๆบริเวณลำต้น จะเกิดการสั่นไหวทั้งลำต้น
ลองแล้วตื่นเต้นมากๆค่ะ ลูบกันอยู่นานเลย...สนุก ต้นนี้มีอายุ 108ปี(ปลูก 29 ม.ค.2451)




แดดร้อนจัดมากค่ะ เข้าไปไหว้พระด้านในโบสถ์กันดีกว่า



วัดปรางค์...ชื่อพ้องกับมะปรางเลยค่ะ





เดินทางต่อมายังวัดพระธาตุเบ็งสกัด




วัดเก่าแก่ สร้างเมื่อ พ.ศ. 1826 โดยพญาภูคา เจ้าผู้ครองเมืองย่าง




เมื่อสร้างพระธาตุเสร็จได้มีการจัดพิธีเฉลิมฉลอง ตอนกลางคืนเกิดมีแสงสว่างเป็นรัศมี
เหมือนพระจันทร์ทรงกลดพุ่งออกมาจากยอดพระธาตุและวนเวียนไปมารอบๆพระธาตุ 
พญาภูคาจึงได้ตั้งชื่อว่า "พระธาตุเบ็งสกัด"



ไหว้พระประธาน







สมัย พ.ศ. 1825-1906 เรียกเมืองนี้ว่า เวียงวรนคร แปลว่า เมืองดี ปัจจุบันเป็น อ.ปัว




ขับรถออกจากวัดพระธาตุฯ ไปวัดไทลื้อต่อค่ะ




วัดร้องแง เป็นวัดโบราณวิหารศิลปะไทลื้อ สร้างประมาณปี พ.ศ. 2310




ประวัติวัดร้องแง






ในวิหารมีพระประธานปางมารวิชัย



 ผนังด้านหลังองค์พระเป็นจิตรกรรมเรื่องพุทธประวัติและชาดก



ตัวพระวิหารของวัดได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภทปูชนียสถาน
 โดยสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์






ขับรถออกจากเมืองปัวประมาณ 3 กม. ไปวัดภูเก็ต 
 ตั้งชื่อตามชื่อหมู่บ้านเก็ต และตั้งอยู่บนเนินสูง จึงเรียกว่า วัดภูเก็ต



ต้องเดินขึ้นบันไดไปวัดค่ะ ด้านบนเป็นลานกว้างสามารถมองเห็นทุ่งนาเป็นบริเวณกว้าง
 คนนิยมขึ้นมาชมวิว เวลานาข้าวสีเขียวจะสวยงามสดใสมากๆค่ะ




อุโบสถทรงล้านนาประยุกต์







ด้านในเป็นที่ประดิษฐาน หลวงพ่อแสนปัว หรือหลวงพ่อพุทธเมตตา
ด้านหลังเป็นจิตรกรรมฝาผนังแบบสามมิติค่ะ(เพิ่งเคยเห็นที่วัดนี้เป็นแห่งแรกเลยค่ะ)




เวลาเรามาไหว้พระในวัดทางภาคเหนือ เราจะเห็น"ตุง" ห้อยอยู่มากมาย




ตามความเชื่อของชาวล้านนา "ตุง" เป็นสัญลักษณ์ของความดี การทำบุญถวายตุงถือว่าได้บุญมาก




ออกมาเดินชมความงามรอบพระอุโบสถ




มีต้นดิ๊กเดียมด้วยค่ะ ลองลูบแล้วสั่นนิดๆ คงเป็นเพราะต้นยังเล็ก




เทือกเขาด้านหลังคืออุทยานแห่งชาติดอยภูคา เดี๋ยวเราจะไปขึ้นเขากันค่ะ




มุ่งหน้าสู่เส้นทางดอยภูคา อีก 30 กม.




ขับรถมาบนสันเขาตลอดเส้นทางเลยค่ะ ทางเป็นสองเลนแต่ถนนเรียบดีมาก 
มองวิวสองข้างทางสวยงาม




ใช้เวลาประมาณ 40 นาทีก็มาถึงอุทยานฯ




 จ่ายค่าเข้าอุทยานคนละ 20 บาท




แวะถ่ายรูปกับต้นไม้หายากค่ะ"ต้นเต่าร้างยักษ์" เป็นปาล์มที่ค้นพบแห่งแรกที่ จ.น่าน ใกล้สูญพันธุ์แล้ว




ขับรถเข้าไปในที่ทำการอุทยานฯ ทางขวามือเป็นลานจอดรถมีร้านค้าให้บริการอาหารและน้ำดื่ม
บนดอยนี้อากาศเย็นค่ะ แวะทานอาหารร้อนๆสักหน่อย





ต้นเมเปิ้ล








เดินเล่นรอบๆที่ทำการแล้วก็ขับรถเข้าไปชมวิวด้านในกันต่อค่ะ




โซนบ้านพักอุทยาน มีบ้านหลายหลังเลยค่ะ






ด้านหลังบ้านพักเป็นลานชมวิวเทือกเขา





จุดชมทิวทัศน์




มีต้นชมภูพูคาด้วยค่ะ แต่ยังไม่ออกดอกเลย



มายืนชมวิวบนนี้ไม่เห็นวิวเท่าไรนักเพราะต้นไม้สูงบังวิวค่ะ



ขับรถย้อนออกมาทางด้านหน้า จนท.บอกว่ามีเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติ เป็นทางเดินเข้าไปในป่า




ดูจากแผนที่แล้วน่าจะเดินไกลพอสมควร กว่าจะถึงต้นชมภูพูคา




เดินเล่นถ่ายรูปสักนิดก็ออกมาแล้วค่ะ กลัวจะมืด




จนท.อุทยานฯบอกว่าให้เลี้ยวซ้ายไปอีกประมาณ 8 กม.ก่อนถึงจุดสูงสุดจะมีต้นชมภูพูคาอยู่ริมถนน 
แต่เพิ่งออกดอกแค่ช่อเดียวเอง คุณป๋าเลยบอกว่าเราควรจะกลับกันดีกว่าเพราะกลัวจะถึงเมืองน่านมืด ระยะทางกลับอีก 85 กม.




เส้นทางถนนบนสันเขาสองข้างทางเป็นเหว สวยแต่ก็หวาดเสียวตลอดทางค่ะ



เส้นทางคดเคี้ยวมากเราจะพบป้ายห้ามแซงตลอดทางบนเขาเลยค่ะ



เวลา 17:00น. ก่อนเข้าตัวเมืองน่าน คุณป๋าพาแวะ "วัดป่านันทบุรีญาณสังวราราม"




ตั้งอยู่ที่บ้านผาตูบ ต.ผาสิงห์ อ.เมือง จ.น่าน




อุโบสถดิน





สวยงาม เงียบสงบและสะอาดมากๆค่ะ




เข้าไปไหว้พระประธานด้านในโบสถ์กันค่ะ






พระอุปคต



เวลา 18:00 น.ไปทานอาหารร้านดังของ จ.น่าน ร้านอาหารปุ้ม 3






ทานกันหมดเรียบเลยค่ะ (ต้มยำเผ็ดไปหน่อย)




แวะเข้าที่พักคืนนี้ เวียงภูมินทร์




เอาของเข้าไปเก็บในโรงแรมแล้วเดินออกมาที่กาดข่วงเมือง
ทานไอติมมะพร้าวอ่อน นั่งฟังเพลง




เดินซื้อของฝากที่ถนนคนเดิน พรุ่งนี้ต้องกลับบ้านแล้วค่ะ




เวลา 21:00 น.กลับมานอนพักค่ะ ห้องนอนหวานน่ารัก สะอาดดีค่ะ





ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น