TUKEMD

__TUKEMD__ชื่อบ้าน อ่านว่า ตุ๊ก-เอ็ม-ดี นะจ๊ะ เป็นชื่อในเน็ตของแม่ตุ๊กเองค่ะ

บ้านหลังน้อย หลังนี้เป็นของแม่ตุ๊ก,น้องมะปราง และ คุณป๋า

เป็นบล็อกเพื่อบันทึกความสุข ความทรงจำ ในการท่องเที่ยวที่ต่างๆของครอบครัวเราค่ะ



2554/05/19

ไหว้พระ2วัดริมเจ้าพระยา(วัดระฆัง-วัดอรุณ)



30 เม.ย.54 (16:00น.)

หลังจากกลับที่พักไปอาบน้ำ-ทานขนมเสร็จ เราก็นั่งแท็กซี่ออกเที่ยวกันเลยค่ะ(จะได้ไม่เสียเวลา)
ไปเที่ยววัดระฆังกันค่ะ ดังคติที่ว่า "ไหว้พระวัดระฆัง มีคนนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี"


วัดระฆังโฆสิตารามวรมหาวิหาร (วัดระฆัง) ตั้งอยู่ทางฝั่งธนบุรี ตรงข้ามกับท่าช้างวังหลวง เดิมชื่อวัดบางหว้าใหญ่ เป็นวัดโบราณมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงยกฐานะขึ้นเป็นพระอารามหลวง และโปรดเกล้าฯ ให้สังคยาพระไตรปิฏกที่นี่ ต่อมาในสมัยร.1 ได้มีการขุดพบระฆังลูกหนึ่งซึ่งมีเสียงไพเราะมาก ซึ่งต่อมา ร.1 ก็ได้นำระฆังลูกนั้นไปไว้ที่วัดพระแก้ว และโปรดให้สร้างหอระฆัง พร้อมทั้งระฆังอีก 5 ลูกไว้ให้แทน จึงเป็นที่มาของชื่อวัดระฆัง


แต่จริงๆ แล้ววัดนี้ยังเคยมีอีกชื่อหนึ่งว่า"วัดราชคัณฑิยาราม"ซึ่งเป็นชื่อที่ ร.4 ทรงตั้งให้
แต่คนไม่นิยมเรียก จึงเรียกกันว่าวัดระฆังมาจนถึงบัดนี้


มีระฆังมากมายทั่วบริเวณวัดทั้งขนาดใหญ่ๆ-เล็กๆ


ช่วงนี้มีการบรรพชาสามเณร(ฤดูร้อน) พวกเราเลยทำบุญซะหน่อยค่ะ


เข้าไปไหว้พระในโบสถ์กันค่ะ..ข้างนอกลมเย็นสบายมากๆ


ร.5 เคยตรัสว่า "ไปวัดไหนไม่เหมือนมาวัดระฆัง พอเข้าประตูโบสถ์ พระประธานยิ้มรับฟ้าทุกที..."
น่าจะเป็นเพราะพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่อ่อนโยนและเมตตา


มาวัดระฆังสิ่งหนึ่งที่หลายคนต้องนึกถึงก็คือ หลวงพ่อโต และ พระคาถาชินบัญชร เพราะหลวงพ่อโต หรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) สมเด็จพระราชาคณะที่มีชื่อเสียงของวัดนี้ เป็นที่เคารพนับถือของเหล่าพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก


ท่านยังเป็นผู้ที่นำเอาบทสวดอันศักดิ์สิทธิ์ที่ตกทอดมาจากลังกามาดัดแปลง แต่งเติมให้สมบูรณ์ขึ้น จนกลายเป็นพระคาถาชินบัญชรที่เราๆ รู้จักกันดี ซึ่งหากผู้ใดสวดเป็นประจำแล้วก็จะเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง


สิ่งสำคัญในวัดได้แก่ ตำหนักทอง ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและสมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พระอุโบสถกับหอพระไตรปิฏกที่ ร.1 ทรงสร้าง ภายในมีภาพจิตรกรรมฝาผนังประดับทั้งสองหลัง


ตอนนี้อากาศดีมากแดดร่มและลมจากแม่น้ำพัดมาเย็นสบายสุดๆ เลยขอเดินเล่นรอบๆวัดก่อนค่ะ


ใครๆ มักจะนำเอาระฆังทั้งเล็ก-ใหญ่มาถวายที่วัดนี้เพื่อเป็นการทำบุญ เราจะเห็นระฆังเหล่านั้นแขวนเรียงกันอยู่มากมายข้างๆ โบสถ์ พอลมพัดมาทีหนึ่งก็ได้ยินเสียงระฆังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ


ด้านหลังของวัดจะพบพระพุทธรูปองค์ใหญ่ สีขาว

พระพักตร์งดงาม-ยิ้มละมัย


เห็นแล้วต้องเข้าไปไหว้กันหน่อยค่ะ..ไม่มีคนผ่านมาทางนี้กันเลย


เดินเล่นจนรอบวัดแล้ว ก็เดินย้อนกลับมาบริเวณท่าน้ำหน้าวัด ซึ่งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยพ่อค้าแม่ค้าที่นำเอาสัตว์น้ำต่างๆ เช่น ปลาหลากหลายชนิด หอย เต่า มาไว้ให้ผู้ที่มาทำบุญได้ซื้อไปปล่อยกัน มีการโฆษณากันไปต่างๆ นานา เช่น ปล่อยปลาสวาย เป็นการปลดปล่อยสิ่งไม่ดีในตัวเรา ปล่อยปลาดำราหูเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา ปล่อยปลาทับทิม ช่วยเรื่องความรัก ซึ่งก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละคน
แต่พวกเราไม่นิยม เพราะเห็นแล้วสงสารสัตว์ที่โดนจับมามากกว่า


มาถึงริมน้ำแล้วค่ะ


ท่าเรือวัดระฆัง


มะปรางขอเงินซื้ออาหารปลา 1 ถุง=10 บ.


กิจกรรมที่โปรดปรานที่สุดริมแม่น้ำ..ของมะปราง(น่าจะของเด็กทุกคนแหละ...)
ให้อาหารปลาค่ะ


วันนี้มีของแถม...ให้อาหารนกพิราบด้วยล่ะ


มองจากท่าวัดระฆังจะเห็นพระบรมมหาราชวังอยู่อีกฝั่ง


เดี๋ยวเราไปวัดอรุณกันต่อนะคะอยู่เลยวัดระฆังไปหน่อยนึง นั่งรถตุ๊กตุ๊กคนละ 2 บ. ก็ถึงแล้ว


ถึงแล้วค่ะ..."วัดอรุณราชวราราม"เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร เป็นวัดโบราณ สร้างในสมัยอยุธยา



วันนี้ไม่มีคนเลยดูเงียบมากๆ สงสัยใกล้เวลาจะปิดแล้ว


เดิมเรียกว่า วัดมะกอก และกลายเป็นวัดมะกอกนอก เพราะอยู่ปากคลองบางกอกใหญ่


ส่วนเหตุที่มีการเปลี่ยนชื่อเป็นวัดแจ้งนั้น เชื่อกันว่า เมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงตั้งราชธานีที่กรุงธนบุรี ในพ.ศ 2310 ได้เสด็จมาถึงหน้าวัดนี้ตอนรุ่งแจ้ง จึงพระราชทานชื่อใหม่ว่าวัดแจ้ง


สมัย ร.2 จึงโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อวัดใหม่ ว่า วัดอรุณราชธาราม ถึง ร.4 โปรดเกล้าให้บูรณะปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก แล้วทรงเปลี่ยนชื่อวัดเป็น"วัดอรุณราชวราราม" ดังที่เรียกกันจนถึงปัจจุบัน





พวกเราไม่ได้เข้าไปไหว้พระในโบสถ์..เพราะใกล้จะ 6โมงเย็นเค้าปิดประตูแล้ว เลยเดินเล่นรอบๆโบสถ์กัน


พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามเป็นสถาปัตยกรรมที่สร้างสืบเนื่องมาจากความศรัทธาในพุทธศาสนาผสมผสานไปกับศิลปกรรมแบบฮินดู วัตถุประสงค์หลักนั้นสร้างด้วยความศรัทธาในคตินิยมของพุทธศาสนาจึงอาจเรียกอีกชื่อหนึ่งของพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามว่าเป็น พุทธปรางค์


พระปรางค์นี้มองมุมไหนก็งดงาม




มะปรางชอบเจ้าหมาตัวนี้มากๆ บอกว่าหน้าตาเหมือน "สกูบบี้" ของเราเลย...แต่มันอ้วนมากๆ


ยักษ์วัดแจ้ง รูปยักษ์ยืนหน้าประตูซุ้มยอดมงกุฎมี 2 ตัว มือทั้งสองกุมกระบองยืนอยู่บนแท่น สูงประมาณ 3 วา ยักษ์ที่ยืนด้านเหนือ (ตัวขาว) คือ สหัสเดชะ ด้านใต้ (ตัวเขียว) คือ ทศกัณฐ์ ปั้นด้วยปูนประดับกระเบื้องเคลือบสีเป็นลวดลายรูปลักษณะและเครื่องแต่งตัว รูปยักษ์คู่นี้เป็นของทำขึ้นใหม่



มีอนุสาวรีย์ ให้สักการะอยู่ทางลานด้านหน้า


คุณป๋าขอเข้าไปกราบ"พระเจ้าตากสินมหาราช"ก่อนกลับ


ประตูปิดแล้ว..ห้ามคนเข้า พวกเราก็กลับกันดีกว่า


เค้าเปิดไฟที่พระปรางค์แล้วค่ะ


พวกเราก็นั่งเรือข้ามฟากคนละ 3 บ. ไปเดินเล่นที่ฝั่งท่าเตียนกัน


ร้านอาหารของเย็นนี้ร้าน"โป๊ะท่าเตียน" เป็นร้านอาหารเก่าแก่ของที่นี่เลย เหมาะสำหรับมานั่งชมวัดอรุณ

หกโมงครึ่งแล้ว ทานอาหารกันเลย..หิวสุดๆ


อาหารก็รสชาติพอใช้ได้ กับข้าว3อย่าง ไข่เจียว,แกงจืด,ผักบุ้งทอดกรอบ
รวมค่าอาหาร =410บ.


วิวของวัดอรุณ ที่ถ่ายจากร้านอาหารถ้าเป็นกล้องดีๆภาพคงสวยกว่านี้ค่ะ

เดินเล่นสักพักก็ไปนั่งรอเรือข้ามฟากกลับกันค่ะ


ปิดท้ายด้วยรูปจากกล้องคุณป๋า..ดูสวยกว่าของแม่ตุ๊กเนอะ


1 ความคิดเห็น: